วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

หนังดี แต่อย่าผิดหวัง Hunger Game เกมส์ล่าชีวิต

 ที่ผมจั่วหัวเอาไว้แบบนี้ หลายๆท่านอาจจะงง อะไรว่ะ หนังดีแต่อย่าผิดหวัง มาว่าตามขั้นตอนเลยดีกว่าครับ โดยผมเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานก่อน เพราะหนังเรื่องนี้ผมได้ดูตัวอย่างแล้วก็คาดหวัง (คงจะเหมือนๆกับหลายๆคน) ว่าต้องต้องล่ากันแบบ เฟี๊ยวฟ้าว แอ๊คชั่นดุเดือด ต้องลุ้นระทึกกับการตามล่า 555 ขอบอกว่าท่านต้องปรับอารมณ์ให้ทันนะครับ และโชคดีที่ผมค่อนข้างปรับตัวได้เร็วหน่อย ( ประมาณครึ่งชั่วโมงแรกของหนัง) ถ้าเป็นหนังแอ๊คชั่นทั่วๆไป อาจจะดูว่าช้า แต่สำหรับหนังเรื่องนี้ผมรู้สึกว่าหนังมันยาวกว่าปกติเยอะเลย หนังดูสนุกแบบที่หนังจะเป็น (ถ้าคนสร้างอยากให้เป็นแนวดราม่า - โรแมน - แอ๊คชั่น - เสียดสี ) ปรับตัวปรับใจให้ได้  อย่าคาดหวังจะไปดูแอ๊คชั่น ตามล่าดุเดือด เพราะท่านจะผิดหวังแน่นอน ไม่มากก็น้อยและจะบอกว่าหนังไม่สนุก ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ถ้าคุณคิดว่าจะมาดูหนังโรแมน ให้สนุกๆ รับรองหนังเรื่องนี้ตอบโจทย์คุณได้แน่นอน และคุณจะสนุกกับมัน (และคนข้างที่คุณพาไปด้วย) หนังมีหลายๆฉากที่ต้องให้ลุ้น ตัวเอกที่ดำเนินเรื่องไปนางเอก แต่ผมชอบพระเอกนะ ชอบการตัวรอด การปรับตัวกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ( คนแบบนี้แหละที่อยู่ได้ทุกสมัย ) แต่ผมว่าก็คงมีคนเกลียดพอๆกับคนชอบล่ะ   อย่าให้คุณต้องพลาดด้วยประการทั้งปวง หนังดูหนัง สำหรับผมสามารถดูได้หลายๆรอบครับ  
ส่วนด้านการวิจารณ์อาชีพ ผมได้คัดลอกมารวมกันแล้วด้านล่าง เพื่อประกอบการตัดสินใจของคุณ อย่าลืมว่าความสนุกสุขใจ ไม่มีใครบังคับคุณได้ ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง  

ขอให้สนุกนะครับ 

_______________________________________________________________________________

เรื่อง...ณัฐกร เวียงอินทร์ 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1332566264&grpid=01&catid=01

ในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ภาพยนตร์ที่สร้างจากวรรณกรรมภาคต่อระดับเบสต์เซลเลอร์ได้ขึ้นมาเขย่าบัลลังก์บ็อกซ์ ออฟฟิศ ครั้งแล้วครั้งเล่า จากการผจญภัยของฮอบบิทใน The Lord of the Rings มาสู่โลกพ่อมดน้อย Harry Potter ตามด้วยวรรณกรรมโรมานซ์อย่าง Twilight กับเรื่องราวชวนฝันในความสัมพันธ์ของ หญิงสาวผู้เป็นมนุษย์, แวมไพร์รูปหล่อ และมนุษย์หมาป่าล่ำบึ้ก

The Hunger Games

กระแสวรรณกรรมดังที่ว่ามาดูเหมือนจะจบตำนานไปแล้ว คงเหลือแต่ Twilight ภาคสุดท้ายและการนำ Hobbit ซึ่งเป็นวรรณกรรมต้นธารของ The Lord of the Rings มาทำเป็นหนังฟอร์มใหญ่ในปีนี้

แต่หลังจากหมดยุควรรณกรรมภาคต่อในข้างต้นแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีต้นฉบับวรรณกรรมระดับเบสต์เซลล่อร์มารับช่วงต่อ เพราะในตอนนี้กระแสหนังสือและภาพยนตร์ The Hunger Games ดูจะเข้ามาครองหัวใจคนทั้งโลกเรียบร้อยแล้ว

The Hunger Games เป็นเรื่องราวของโลกอนาคต ที่อารยธรรมล่มสลาย แล้วโลกได้มีการจัดระเบียบใหม่โดยในประเทศ “พาเน็ม” ได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 12 เขต ขึ้นตรงต่อ "แคปิตอล" ซึ่งเป็นเมืองหลวง แต่ละเขตมีความถนัดในการผลิตที่แตกต่างกัน อย่างเช่น เขต 12 ซึ่งเป็นเขตที่ตัวเอกของเรื่องทั้งสามคน นั่นคือ สาวน้อยสู้ชีวิต แคตนิส เอเวอร์ดีน, หนุ่มลูกเจ้าของร้านขายขนมปัง และเกล หนุ่มนักล่าสัตว์ อาศัยอยู่ เป็นแหล่งผลิตถ่านหิน ซึ่งนับว่าเป็นเขตที่ยากจนแร้นแค้นที่สุดใน 12 เขต

"พาเน็ม" สร้างกลไกเพื่อควบคุมพลเมืองในรัฐของตน ด้วยวิธีที่หลากหลาย อย่างเช่น การห้ามให้ผู้คนทั้ง 12 เขตติดต่อกัน แต่ที่สำคัญก็คือ การออกแบบเกมเรียลิตี้โชว์ที่มีชื่อว่า Hunger Games เพื่อให้แต่รัฐเห็นความสำคัญในชีวิตของตน โดยในแต่ละปี แต่ละเขตจะส่งตัวแทนชายหญิงอายุระหว่าง 12-18 ปี มาเล่นเกมนี้เขตละ 2 คน รวมทั้ง 12 เขตมีผู้เข้าร่วม Hunger Games อยู่ 24 คน โดยเกมนี้มีกติกาง่ายๆคือ ผู้ที่เหลือรอดจากเกมคนสุดท้ายคือผู้ชนะ ซึ่งนั่นก็หมายถึงผู้ร่วมแข่งขันที่เหลืออีก 23 คนต้องจบชีวิตลงในเกมนี้

พล็อตแรงๆที่ชวนลุ้นชวนติดตามนี้ ส่งผลให้ The Hunger Games กระแสแรงมากมาย...

หนังสือ The Hunger Games ฉบับภาษาไทย

ในฝั่งของวรรณกรรม นิยายเยาวชนไตรภาคของซูซาน คอลลินส์เล่มนี้ ได้สร้างกระแสที่น่าสนใจไว้มากมาย จากปี 2008 ที่หนังสือเล่มนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ยอดขายทั่วโลกขายได้ประมาณ 16 ล้านเล่มทั่วโลก ติดอันดับหนังสือขายดีของนิวยอร์กไทมส์ถึง 130 สัปดาห์ติดต่อกัน และตอนนี้ หนังสือเล่มนี้ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปแล้ว 44 ประเทศทั่วโลก และแปลไปกว่า 30 ภาษา โดยเวอร์ชั่นแปลบ้านเรา เป็นของสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊คส์ ใช้ชื่อหนังสือภาษาไทยว่า "เกมล่าชีวิต"(นาธาน แปล)

ส่วนกระแสในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ ที่ตั้งใจจะทำทั้งหมด 4 ภาค ต้องบอกว่า แรงตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าฉาย อย่างที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ มีการจองบัตรล่วงหน้า 2 วัน ปรากฏว่ามีผู้คนมากมายยอมทนหนาว บางคนลงทุนตั้งแคมป์รอเข้าคิวเพื่อจะได้เป็นคนกลุ่มแรกๆที่ได้เข้าชม

ส่วนที่อเมริกามียอดซื้อตั๋วล่วงหน้าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ เอาชนะ The Twilight Saga: Eclipse ซึ่งเป็นแชมป์เก่า โดยเพียงแค่เปิดขายวันแรกในเวบไซด์ Fadango ก็ขายตั๋วเกลี้ยงไปมากกว่า 100 รอบ และเปิดฉายในอเมริกาด้วยจำนวนโรงสูงถึง 4137 โรงฉาย และมีจำนวนจอฉายสูงถึง 10000 จอ ถือว่าเป็นสถิติที่สูงที่สุดของจำนวนจอฉายนับตั้งแต่เคยมีการสร้างภาพยนตร์กันมา

ผู้คนที่นอร์เวย์รอซื้อบัตรล่วงหน้าภาพยนตร์ The Hunger Games

นับจากนี้ไป คงจะมีสถิติหน้าใหม่มากมายจากภาพยนตร์ภาคต่อเรื่องนี้ ที่เป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาแรงจนน่าจับตาตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงอีกหลายปีข้างหน้า...

และเมื่อมองผ่านทั้งเนื้อหาของทั้งหนังสือและภาพยนตร์ซึ่งโครงเรื่องแทบไม่แตกต่างกันเลย การเล่าเรื่องของ The Hunger Games ดูเหมือนจะมีหลายประเด็นที่น่าสนใจที่จะหยิบยกมาพูดถึงนอกเหนือไปจากความสำเร็จที่มากมายของ The Hunger Games ซึ่งหนังสือและภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้นำ "สูตร" ต่างๆเข้ามาเขย่า ขยี้และปรุงรสใหม่ ได้อย่างออกรสชาติ ดังนี้คือ


ประชาชนที่พาเน็มกำลังชมเรียลริตี้โชว์ The Hunger Games

1.การเสียดสีความเป็นเรียลริตี้ โชว์ (Reality Show) อันเป็นรูปแบบรายการยอดฮิตไปทั่วทุกมุมโลกในวันนี้ไปแล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่ The Hunger Games จะนำผู้ชมมายังประเด็นนี้ เหตุผลเพราะว่า ซูซาน คอลลินส์ได้รับแรงบันดาลใจในการแต่งหนังสือจากการนั่งชมรายการโทรทัศน์ 2 ช่องรายการ ช่องรายการหนึ่งเป็นรายการเรียลิตี้โชว์ แต่อีกช่องหนึ่งกลับเป็นข่าวที่อเมริกาบุกอิรักเมื่อปี 2003 ซึ่งความรู้สึกขัดแย้งกันตรงนี้ทำให้เธออยากเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ทำให้ผู้ตกรอบจากเวที Hunger Games ไม่ใช่เพียงแต่ถูกกรรมการวิจารณ์หรือตนเองต้องออกมายืนร้อไห้หน้าเวทีเหมือนรายการเรียลริตี้โชว์ที่เห็นกันดาดดื่น แต่นั่นหมายถึง ชีวิต ที่จะต้องสังเวยเพื่อแสดงให้เห็นถึงความภักดีที่มีต่อรัฐพาเน็ม ในแง่นี้ จึงเปรียบเสมือนการล้อเลียนผู้ชมเรียลิตี้โชว์ กลายว่า ในขณะที่เรารับสื่ออยู่นั้น ผู้ชมไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างความรุนแรงจากการแสดงและความรุนแรงจากพื้นที่จริงออกได้แล้ว เพราะนี่เป็นเพียงความบันเทิงหนึ่งที่มีในชีวิตของพวกเขา, ผู้เลือกเสพความบันเทิงบนโซฟาในบ้านของตนเองเพียงเท่านั้น




2.ประเด็นต่อมาก็คือ ถ้าจะจัดประเภทเรียลริตี้โชว์ ที่ปรากฏในเรื่องนี้ คงจะอยู่ในประเภทพวกรายการเอาตัวรอด หรือเซอร์ไวเวอร์(Survivor) ที่ผู้ร่วมเล่นเกมต้องอยู่ร่วมแข่งขันเอาตัวรอดเป็นคนท้ายๆ จึงจะเป็นผู้ชนะ แต่อย่างที่บอก เดิมพันของ Hunger Games คือ ชีวิต การนำเสนอความรู้สึกของตัวละครในเรื่อง จึงไปได้ไกลในระดับของการถกเถียงกันในประเด็นที่ว่า ตกลงแล้ว "ธรรมชาติของมนุษย์" ในสภาวะอนาธิปไตยที่สังคมเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เป็นอย่างไร? ดีหรือเลว? ซึ่งชวนให้นึกถึงฉากสำคัญฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง "The Dark Knight"(2008) หนังแบทแมนเวอร์ชั่นที่คริสโตเฟอร์ โนแลนกำกับ มีฉากสำคัญที่เรือ 2 ลำ ลำหนึ่งเป็นของประชาชนธรรมดาในเมืองกอทแธม กับอีกลำเป็นของนักโทษ ทั้ง 2 ลำ ต่างมีรีโมทคอยกดระเบิดเรืออีกฝั่ง เพื่อวัดใจกันว่า ในเงื่อนไขเช่นนั้นที่เดิมพันด้วยชีวิต ประชาชนหรือนักโทษจะเป็นคนกดรีโมท?(ผลลัพธ์ในภาพยนตร์เป็นเช่นไร ผมไม่ขอสปอยล์นะครับ)

พล็อตเช่นนี้ ชวนให้คิดและตั้งคำถามอยู่เสมอว่า ตกลงแล้ว "ธรรมชาติของมนุษย์" มีหน้าตาเป็นอย่างไร?



3.การนำเสนอสังคมในพาเน็ม เป็นสังคมที่อยู่ในรูปแบบ "ดิสโทเปีย"(Dystopian) ซึ่งเป็นสังคมฝันร้ายที่แตกต่างจากสังคมในอุดมคติอย่าง "ยูโทเปีย"(Utopia) โดยสังคมพาเน็มแห่งนี้ ได้มีการจัดระเบียบการปกครองเพื่อป้องกันการลุกฮือของคนในรัฐหลากหลายรูปแบบ เพราะในอดีตมีเขต 13 ซึ่งเป็นเขตที่ทำการปฏิวัติ ผู้คนที่มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในแคปิตอลจึงต้องหาทางป้องกันตรงจุดนี้ไว้ อย่างเช่น การนำทรัพยากรจากเขตต่างๆ ไล่ตั้งแต่อาหารไปจนถึงอาวุธสงครามเข้าสู่แคปิตอล ซึ่งเป็นส่วนกลางเพียงเขตเดียว, ห้ามให้เขตเหล่านี้ติดต่อกัน, มี "พีซคีปเปอร์" เป็นตำรวจของรัฐที่คอยควบคุมดูแลแต่ละเขต และการจัดการแข่งขัน Hunger Games ที่นอกจากจะทำให้ผู้คนในแต่ละเขตนึกถึงคุณค่าของชีวิตตนแล้ว การนำเสนอความบันเทิงในรูปแบบเรียลิตี้โชว์ ยังเป็นการกล่อมให้พลเมืองสงบ(โดยเฉพาะคนในเขตแคปปิตอล)ด้วยการใช้ความบันเทิงเข้ามาหลอกล่อ ซึ่งไม่ต่างจากยุคที่จักรวรรดิโรมันรุ่งเรืองจากการรุกรานดินแดนต่างๆ แต่พวกเขาพยายามทำให้ผู้คนที่อยู่ในกรุงโรมอันเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่อย่างสงบ ไม่มีการลุกฮือก่อจราจลด้วยการสร้างสถานบันเทิงอย่างโคลอสเซียมที่มีการจัดการประลองระหว่างทาส เชลยศึก และนักต่อสู้อาชีพ ให้ชาวโรมันได้ชมเพื่อพักผ่อนหย่อนใจโดยเฉพาะ

"ดิสโทเปีย" ในแบบ "The Hunger Games" จึงดูสนุกและหดหู่ไม่แพ้วรรณกรรมดิสโทเปียเรื่องดังๆในอดีตอย่าง "Brave New World" ของ อัลดัส ฮักซลีย์, "1984" ของจอร์จ ออร์เวลล์ หรือ "Lord of the Flies" งานเขียนของวิลเลียม โกลดิ้ง แต่อย่างใด

4.การต่อสู้ทางชนชั้น(class struggles) ในมุมมองแบบมาร์กซิส(Marxism) ในรัฐพาเน็มก็ดูเป็นสีสันที่น่าสนใจเช่นกัน ทรัพยากรต่างๆถูกดูดเข้าไปในส่วนกลาง นั่นคือ "แคปิตอล" แต่มีการกระจายผลผลิตกลับสู่เขตต่างๆด้วยสัดส่วนที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับผลผลิตที่เจ้าของแรงงานในแต่ละเขตผลิตได้ ปมตรงนี้ ทำให้ The Hunger Games มีเสน่ห์น่าติดตาม เพราะแน่นอนว่า เมื่อความแร้นแค้นและความไม่พอใจถูกสะสมมากขึ้น ผู้คนผู้เป็นเป็นฐานล่างของสังคมย่อมที่จะลุกฮือเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐโดยเฉพาะผู้คนในเขต 11 และ 12 ซึ่งเป็นเขตที่ทำการเกษตรกรรมและทำเหมืองแร่ถ่านหิน อันเป็นพื้นที่ที่พาเน็มปล่อยปละละเลยจนผู้คนอดอยาก ย่อมเป็นมูลเหตุนำไปสู่การปฏิวัติได้

(อันที่จริงแล้ว ตามแนวคิดของนักคอมมิวนิสต์แบบ คาร์ล มาร์กซ์ เขามองว่า การปฏิวัติทางชนชั้นขั้นสุดท้าย จะเกิดขึ้นในสังคมอุตสาหกรรม แต่สังคมอุตสาหกรรมในพาเน็ม อย่างในเขตของการผลิตอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคทุกชนิด, ประกอบยานพาหนะ, ผลิตอาวุธ หรือเครื่องประดับ กลับเป็นเขตที่พลเมืองมีคุณภาพชีวิตดีกว่าเขต 11 และเขต 12 ด้วยเห็นที่ว่า ส่วนกลางของรัฐดูดทรัพยากรจากเขตเกษตรกรรมไปดูแลเขตที่รัฐโปรดปรานในข้างต้น ซึ่งออกจะชวนหัวอยู่สักหน่อย)


 
จากบนลงล่าง เลียม เฮมส์เวิร์ธ(เกล), เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์(แคตนิส)และจอช ฮัทเชอร์สัน(พีต้า)

5.กลิ่นของหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้ The Hunger Games ดูเคลื่อนไหวอย่างไม่แข็งทื่อเกินไปนัก นั่นคือการนำเรื่องราวชวนฝันหวานตามสไตล์รักโรแมนติก(Romantic Love) เข้ามาผสมให้เนื้อเรื่องดูกลมกล่อมยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ปมรักสามเส้ายังเป็นเรื่องที่ขายได้ในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งในยุครักโปรโมตผ่านเฟซบุ๊คนี้ ข้อพิสูจน์ว่าความรักของคนสามคนยังขายได้นั้นก็เพราะความฮอตของมนุษย์ แวมไพร์ และมนุษย์หมาป่า ผ่านภาพยนตร์ Twilight จนหลายคนมองว่า สูตรสำเร็จตรงนี้ ในมุมมองการตลาด ถูกกลืนเข้าไปในหน้าหนัง The Hunger Games แบบเนียนๆผ่านความสัมพันธ์ของแคตนิส, พีต้า และเกล ได้อย่างมีพลังมากพอที่จะดึงคนเข้ามาชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรง

อีกทั้ง The Hunger Games ยังเล่นกับอารมณ์ความรักที่ไม่สมหวัง ผ่านสายตาของผู้ชมในสังเวียน Hunger Games ซึ่งปมไคลแมกซ์ในประเด็นความรักโรแมนติกในช่วงท้ายๆของภาคแรกชวนให้นึกถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับตัวละครอมตะของวิลเลียม เชคสเปียร์อย่าง โรมิโอและจูเลียต อย่างมีนัยยะน่าสนใจ

ส่วนผสมเหล่านี้ เมื่อถูกนำมาวางโครงสร้างใหม่ ทำให้ "สูตร" ของการเล่าเรื่อง กลายเป็นเรื่องสนุก น่าคิดตาม และที่สำคัญคือ ขายได้ โดนใจมหาชน...




***ข้อมูลของภาพยนตร์ The Hunger Games

อำนวยการสร้าง จอห์น คิลิค (Inside Man, Babel, 25th Hour)

กำกับ  แกรี่ รอส (Seabiscuit, Pleasantville, Big)

เขียนบท  บิลลี่ เรย์ (State of Play, Shattered Glass, Breach)


นำแสดง 

เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Winter’s Bones, X-Men: First Class)

จอช ฮัทเชอร์สัน (Journey 3D, Zathura, The Kids Are All Right)

เลียม เฮมส์เวิร์ธ (The Last Song, Knowing, Triangle)

เอลิซาเบธ แบงก์ส (Definitely Maybe, Spider-Man 1-3, The Next Three Days)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น