วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

The Blind Side_แม่ผู้นี้มีแต่รักแท้

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า นี่เป็นมุมมองของผมสำหรับสำหรับหนังเรื่องนี้ เป็นหนังครอบครัว ที่อบอุ่นมาก หนังแสดงให้เห็นถึงพลังของความรัก ความรักที่ไม่ได้ยึดติดกับคำว่า พ่อ แม่ ลูกในสายเลือดกันปกติ แต่เป็นความรักไม่ได้เลือกว่า เป็นใคร เป็นหนังที่ทำให้ผมเสียน้ำแบบไม้รู้ได้ (ปกติผมก็แพ้ทางเรื่องความรักความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวอยู่แล้ว) ผมขอแนะนำให้ดูพร้อมกันครอบครัว พ่อแม่ลูก จะได้พบกับความรู้สึกที่แตกต่าง จากที่เคยเป็น ไม่อยากให้พลาดครับ หนังที่ดูจบแล้วทำให้รู้สึก อิ่มอกอิ่มใจ ดูแล้วสบายใจ สบายใจจนผมเองก็ยังดูไปแล้วตั้ง 4 รอบและทุกๆรอบผมก็ต้องเสียน้ำตาทุกรอบไป

ส่วนรายละเอียดเรื่องย่อผมขออนุญาตคัดลอกของท่านอื่นๆมาเพื่อประกอบการตัดสินใจนะครับ

ขอให้มีความสุขกับครอบครัว พร้อมกับหนังดีดีทีไม่ควรพลาดเด็ดขาด





บทความดีดี เพิ่มเติมจาก : http://www.oknation.net/blog/yongchan/2010/02/03/entry-1

The Blind Side สร้างมาจากหนังสือชื่อ The Blind Side: The Evolution of a Game* โดย Michael Lewis ซึ่งเป็นชีวิตจริงอันน่าทึ่งของ Michael Oher (ออกเสียงว่า ออร์) หนุ่มนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลอาชีพและครอบครัวบุญธรรมของเขา

ไม เคิล ออร์ เกิดและเติบโตในเมืองเม็มฟิส รัฐเทนเนสซี เป็นลูกคนหนึ่งในบรรดา 12 ของคุณพ่อที่เป็นแกงส์เตอร์และถูกยิงตาย กับคุณแม่ที่ติดโคเคนงอมแงม เขาโตมาในสภาพที่ไม่มีใครดูแล ไม่มีเสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย หรือสุขภาพอนามัยที่เด็กคนหนึ่งควรได้รับ ไม่มีใครเอาใจใส่ไมเคิลในเรื่องการศึกษา เขาย้ายโรงเรียน 11 ครั้งในรอบ 9 ปี ครูปล่อยให้เขาเลื่อนชั้นไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีใครอยากจ้ำจี้จำไชด้วย  

โชค ชะตาเล่นตลกเมื่อเขาบังเอิญได้มาเข้าเรียนโรงเรียนคริสเตียนจ๋า อย่าง Briarcrest Christian School โรงเรียนเอกชนของคนขาว ไมเคิลเป็นส่วนเกิน และครูทุกคนก็ล้วนแต่ส่ายหน้าว่าคงไปไม่รอด แต่แล้วครอบครัว Touhy โมเดลของอเมริกันดรีม (ที่สุดของความร่ำรวย พ่อประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แม่ทำงานตกแต่งภายใน ลูกสาวเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ลูกชายก็เรียนมหาวิทยาลัยดี) ก็ได้ก้าวเข้ามาช่วยเหลือ 

ผล การเรียนของไมเคิลดีขึ้น และเขาได้รับอนุญาตให้เล่นกีฬา ไมเคิลฝันว่าอยากเป็นเหมือนไมเคิล จอร์แดน เขาสูงเกือบ 2 เมตร และหนักกว่า 160 กิโลกรัม (ถึงขนาดว่าน้ำหนักเกินตาชั่งที่โรงเรียนมีอยู่ ทำให้ครูต้องชั่งน้ำหนักไมเคิลด้วยตาชั่งวัว - หนักเป็นน้องๆ วัว ว่างั้นเถอะ) เป็นที่มาของฉายา Big Mike ที่เจ้าตัวไม่ชอบ 

ดู แล้วก็เป็นเรื่องราวของครอบครัวคนขาวช่วยเหลือเด็กวัยรุ่นดำธรรมดา (อาจจะพิเศษหน่อยตรงที่มันเกิดในเท็นเนสซี รัฐทางใต้ที่ขึ้นชื่อว่าเหยียดผิว) แต่ความไม่ธรรมดามันอยู่ตรงที่ว่าร่างกายอันใหญ่โตแต่กระฉับกระเฉงว่องไว ต้นขาที่แน่นตัน แขนและมือที่ยาวแต่ไม่เก้งก้างของไมเคิลนั้น เป็นส่วนประกอบลงตัวที่หาได้ยากยิ่ง เหมาะที่สุดสำหรับการเป็น Left Tackle ตำแหน่งผู้เล่นในทีมอเมริกันฟุตบอลที่คอยปกป้องควอเตอร์แบ็คในเกมบุกที่หา ยากที่สุด และทีมต่างๆ ต่างค้นหามากที่สุด

โดยไม่รู้ตัว ไมเคิลกลายเป็นผู้เล่นอเมริกันฟุตบอล
ที่เป็นต้องการตัวที่สุดในประเทศ!!! 


โค้ชทีมมหาวิทยาลัยจากทุกสารทิศต่างมาดูตัวไมเคิล พร้อมมอบทุนการศึกษาให้เพื่อให้ไมเคิลไปเล่นด้วย


ใครจะคิดว่าจากเด็กที่ไม่มีอนาคต เรียนได้เกรดศูนย์กว่า 
มีชีวิตอยู่โดยคิดได้ถึงเพียงแค่ว่ามื้อหน้าจะกินอะไร และคืนนี้จะซุกหัวนอนที่ไหน
กลายมาเป็นคนที่ทั้งประเทศต้องการ 



พ่อแม่ในหนัง

พ่อแม่ตัวจริง
 สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็คือว่า นี่เป็นเรื่องจริง ไม เคิล ออร์ นี้ยังมีชีวิตอยู่จริง และยังเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับทีมบัลติมอร์ ราเวนอยู่ทุกวันนี้ เปิดเข้าไปในเว็บไซต์ของทีม มองหาเบอร์ 74 คุณจะได้เจอกับเขา คลิ๊กในยูทูป ก็จะได้เห็นสัมภาษณ์ของเขาพอสมควร
ไมเคิล ออร์ในปัจจุบัน
*ส่วนในหนังสือ นั้น ครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องราวชีวิตของไมเคิล ออร์ จากที่เขาเข้าเรียนใน Briarcrest Christian School ไปจนถึงเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นพัฒนาการของกีฬาอเมริกันฟุตบอลว่าทำไมตำแหน่ง Left Tackle จึงกลายมามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อเกม? ทำไมคนที่เล่นตำแหน่งนี้จึงมีรายได้สูงเป็นอันดับสองของทีมรองจากควอเตอร์ แบ็คเท่านั้น? ทำไมคนเล่นเพียงคนเดียวจึงเปลี่ยนเกมทั้งสนามได้?




The Blind Side (Warnerbros.)
แนว : Drama/Sport
ยาว : 126 นาที
นักแสดง : Sandra Bullock, Tim McGraw, Quinton Aaron, Kathy Bates
กำกับ : John Lee Hancock
เว็บไซต์ทางการภาพยนตร์

          จากชีวิต Michael Oher ผู้ซึ่งกลายมาเป็น นักฟุตบอลที่โด่งดังในอเมริกา เรื่องราวแรงบัลดาลใจของครอบครัว Touhy ที่รับบุตรบุญธรรมที่ไม่มีใครคิดว่าจะรับมาเลี้ยงดู เด็กที่ดูน่ากลัว แต่กลับได้รับความอุ่นจาก พ่อซึ่งรับบทโดย Tim McGraw และภรรยา ซึ่งรับบท Sandra Bullock สาวใจถึงซึ่งเป็นใครคงคิดว่าเอาโจรเข้าบ้านแท้ ๆ แต่กลับกล้าที่จะส่งเสริมและเป็นกำลังให้ใครซักคนหนึ่งได้มีแรงในการใช้ ชีวิต
           The Blind Side เรื่องราวของ วัยรุ่นเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันผู้ยากจนการศึกษาไม่สูงที่มีน้ำหนักตัวถึง 334 ปอนด์ในเมมฟิส ซึ่งพ่อถูกฆาตกรรม และแม่ติดยา ย่างก้าวผ่านระบบโรงเรียนรัฐบาล แม้จะเกรดเฉลี่ยต่ำ และขาดเรียนเป็นประจำก็ตาม แต่ร่างกายที่ใหญ่โต และความเร็วของเขา ดึงดูดความสนใจของเศรษฐีคู่สามีภรรยาผิวขาวที่เอาเขาไปชุบเลี้ยงทั้งด้าน กีฬา และ วิชาการ เพื่อทำให้เขาเป็น 1 ในนักกีฬาฟุตบอลตัวความหวังแถวหน้าระดับไฮสกูลของประเทศ






The Blind Side



The Blind Side



The Blind Side

The Blind Side

The Blind Side

The Blind Side

The Blind Side

The Blind Side

The Blind Side



The Blind Side




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สยามดารา

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

Lockout_แหกคุกล้างอวกาศ

สำหรับคอหนัง Action แนวฝ่าดงคุกช่วยตัวประกัน สไตรส์ The Rock มีมาอีกแล้ว แต่ย้ายจากคุกบนดิน บนเกาะ มาเป็นอวกาศ ( แต่ก็ใกล้ๆวงโคจรโลก ) ตัวหนังเหมือนบะหมี่สำเร็จรูป ที่เรารับรู้รสชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ว่าต้องเป็นอย่างไร? ดูสนุกๆแบบไม่ต้องคิดมาก ครับ ดูเอามันส์ 
บันเทิงล้วนๆ ครับไม่ต้องเคลียด ช่วงเวลานี้การซื้อตั๋วหนังเข้าไปก็คุ้มแล้ว กับแอร์เย็นๆ ได้ของแถมเป็นหนังสนุกๆไม่ต้องคิดมาก สิ่งที่ได้มาจากหนัง ก็เรื่องความอลังการ ของฉากคุกอวกาศ ชีวิตของคนยุคอนาคตอันใกล้ๆ ที่การเดินทางไปอวกาศเหมือนนั่งรถข้ามเมือง แต่นักโทษที่หลุดออกมา มันก็ดูเด่นๆเพียง 2 ตัวเท่านั้น ยังไม่สะใจซักเท่าไหร่ อยากให้มันโครมครามกว่านี้หน่อย จะสะใจกว่านี้ เหมือนโดนก๊กยังงัยไม่รู้ ( อย่างว่านะครับ ก็พระเอกบุกเดี่ยว ) 


แต่ถ้าใครที่บ้านแอร์เย็นๆ รอดูหนังแผ่นก็ได้ครับ (ดู LCD 52") จิ๊บน้ำสีอำพันเย็นๆ ดูหนังมันส์แบบนี้ ก็สุขโขสโมสรล่ะครับท่าน



 หนอนน้อย....



เรื่องย่อ :
เรื่องราวของ MS One ยานอวกาศที่เป็นคุกลอยอยู่ในอวกาศเหนือพื้นโลก ที่คุมขังนักโทษสุดอันตรายกว่า 500 คน โดยคุมขังไว้ในภาวะจำศีล
เมื่อ เอมิลี่ (แม็กกี้ เกรซ) ลูกสาวประธานาธิบดีสหรัฐ ขึ้นไปทำงานด้านสิทธิมนุษยชน เหล่านักโทษก็ตื่นขึ้นมาและได้ยึด เอ็มเอส-วัน ไว้
ด้วยเวลาที่จำกัด ประธานาธิบดีจำต้องส่งอดีตเจ้าหน้าที่ฝีมือดี สโนว์ (กาย เพียรซ) แต่บ้าระห่ำ ขึ้นไปบนคุกอวกาศ เพื่อช่วยลูกสาวของตนกลับสู่โลกให้ได้
ตัวอย่างหนังใหม่ : Lockout ซับไทย

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

หนังดีที่ไม่ควรพลาด สำหรับคนที่ชอบคิดนอกกรอบ_MoneyBall

เมื่อคืนกลับบ้านดึกๆ นอนไม่หลับเพิ่งนึกได้ว่า Load หนังเอาไว้ หนังชิงรางวัลออสการ์ด้วย เลยเปิดดู (แก้ร้อน นอนไม่หลับ)  ปกติแล้วผมค่อนข้างจะชอบหนังแนวพูดๆๆคุยๆๆ แต่มีลุ้นตลอดเวลา แบบที่ว่าพลาดไม่ได้ในทุกๆประโยคของตัวละครมีผลกับการทำความเข้าใจในตัวละครและเนื้อหา ดังนั้นหนังแนวนี้ผมจึงนิยมดูแผ่นหรือ Load ดู แทนที่จะดูที่โรง เพราะมี Reply ดูได้ตลอด  หลังดูจบ เกือบๆตีหนึ่ง เลยสรุปกับตัวเองว่า สงสัยวิธีการที่ผรั่งมันเอาตัวเลขสถิติไปใช้กับการบริหาร วางแผนกับเกมส์กีฬาคงเริ่มมาจากทีมเบสบอลทีมนี้รึป่าว (ว่ะ)  ตัวหนังเน้นความเชื่อมั่นในวิธีการ ที่ไม่มีใครยอมรับกัน (ก็มันยุคบุกเบิกนี่ครับ) แบรด พิท ถ่ายทอดความเป็นตัวละครออกมาได้อย่างสมจริง ผมชอบนิสัยของตัวเอกในเรื่องนี้มาก เพราะเขาศัทธา เชื่อมั่นว่าต้องได้ต้องเป็น ตามที่ลูกน้องของเขาคำนวณไว้ การไว้ใจซึ่งกันและกัน แม้กระทั่งการลงมือกะทำที่จริงจัง เด็ดขาด เพื่อให้ได้ตามแผนที่วางเอาไว้ ผมชอบจริงๆ คนแบบนี้แหละครับ ที่เหมาะกับการเป็นผู้นำของยุคสมัยที่แท้จริง  สำหรับคนที่ชอบแนวกีฬา แอ๊คชั่น หรือปลุกสร้างกำลังใจแบบดูแล้วอิ่มใจ บรรยากาศใส จะต้องผิดหวังนิดหน่อย เพราะตัวหนังไม่ได้เน้นแนวนี้ซักเท่าไหร่ ถ้าแบบนั้นต้องดูเรื่อง The Blind Side ( Sandra Bullock ) เอาไว้จะเขียนให้อ่านครับ เพราะดูไปแล้ว 3 รอบแล้ว
สำหรับหนังเรื่อง MoneyBall คงต้องดูหนังแผ่นหรือ Load มาดูนะครับ
ขอให้สนุกกับการชมนะครับ

______________________________________________________________________
ข้อมูลหนังจาก : เกมล้มยักษ์  http://movie.sanook.com/

เนื้อเรื่องย่อ



Moneyball เกมล้มยักษ์ ภาพยนตร์โดย โคลัมเบีย พิคเจอร์ส สร้างขึ้นจากเรื่องจริงของ บิลลี่ บีน (แบรด พิตต์) อดีตดาวรุ่งในโลกเบสบอล ผู้ไม่อาจทำตามความคาดหวังของคนอื่นบนสนามแข่งได้ จึงได้หันเหไปใช้นิสัยรักการแข่งขันของตัวเองกับการดูแลจัดการทีมแทน

จนเมื่อก้าวเข้าสู่ฤดูกาลแข่งปี 2002 บิลลี่ก็พบกับสถานการณ์น่าท้อแทัใจ โอ๊คแลนด์ เอ ทีมเล็กๆ ของเขาเสียผู้เล่นคนสำคัญไปให้กับสโมสรใหญ่ (และเงินค่าเหนื่อยมหาศาล) (อีกแล้ว) เขาก็เลยต้องสร้างทีมขึ้นมาใหม่ และต้องลงแข่งด้วยจำนวนผู้เล่นที่เหลือเพียงหนึ่งในสาม บิลลี่ได้พุ่งชนระบบด้วยการท้าทายหลักเกณฑ์สำคัญของการแข่งขัน เขามองนอกกรอบเบสบอล ไปยังทฤษฎีที่ถูกเพิกเฉยของ บิล เจมส์ และจ้างปีเตอร์ แบรนด์ (โจนาห์ ฮิล) นักเศรษฐศาสตร์ผู้ชาญฉลาด และชำนาญเรื่องตัวเลขจากเยล พวกเขาร่วมกันแหกขนบดั้งเดิม ด้วยการรื้อทุกอย่างออก และใช้การวิเคราะห์ทางสถิติในคอมพิวเตอร์เป็นตัววางหมากเกมแทน ด้วยวิธีไล่ตามผู้เล่นที่ถูกมองข้ามหรือถูกเพิกเฉยจากสโมสรเบสบอลอื่นๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขาแปลกเกินไป แก่เกินไป บาดเจ็บเกินไป หรือสร้างปัญหามากเกินไป แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างมีทักษะสำคัญที่ถูกมองข้ามทั้งนั้น วิธีใหม่และทีมผู้เล่นเจ้าปัญหาของพวกเขาก็ได้กลายเป็นจุดสนใจของบรรดาผู้ คร่ำหวอดในวงการ สื่อ แฟนๆ การทดลองครั้งนี้ไม่เพียงแต่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นเบสบอลเท่า นั้น แต่ยังนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จะทำให้บิลลี่เกิดความเข้าใจใหม่ที่ข้ามขอบเขตของ การแข่งขัน และนำเขาไปสู่ที่ทางแห่งใหม่อีกด้วย



วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

หนังดี แต่อย่าผิดหวัง Hunger Game เกมส์ล่าชีวิต

 ที่ผมจั่วหัวเอาไว้แบบนี้ หลายๆท่านอาจจะงง อะไรว่ะ หนังดีแต่อย่าผิดหวัง มาว่าตามขั้นตอนเลยดีกว่าครับ โดยผมเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานก่อน เพราะหนังเรื่องนี้ผมได้ดูตัวอย่างแล้วก็คาดหวัง (คงจะเหมือนๆกับหลายๆคน) ว่าต้องต้องล่ากันแบบ เฟี๊ยวฟ้าว แอ๊คชั่นดุเดือด ต้องลุ้นระทึกกับการตามล่า 555 ขอบอกว่าท่านต้องปรับอารมณ์ให้ทันนะครับ และโชคดีที่ผมค่อนข้างปรับตัวได้เร็วหน่อย ( ประมาณครึ่งชั่วโมงแรกของหนัง) ถ้าเป็นหนังแอ๊คชั่นทั่วๆไป อาจจะดูว่าช้า แต่สำหรับหนังเรื่องนี้ผมรู้สึกว่าหนังมันยาวกว่าปกติเยอะเลย หนังดูสนุกแบบที่หนังจะเป็น (ถ้าคนสร้างอยากให้เป็นแนวดราม่า - โรแมน - แอ๊คชั่น - เสียดสี ) ปรับตัวปรับใจให้ได้  อย่าคาดหวังจะไปดูแอ๊คชั่น ตามล่าดุเดือด เพราะท่านจะผิดหวังแน่นอน ไม่มากก็น้อยและจะบอกว่าหนังไม่สนุก ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ถ้าคุณคิดว่าจะมาดูหนังโรแมน ให้สนุกๆ รับรองหนังเรื่องนี้ตอบโจทย์คุณได้แน่นอน และคุณจะสนุกกับมัน (และคนข้างที่คุณพาไปด้วย) หนังมีหลายๆฉากที่ต้องให้ลุ้น ตัวเอกที่ดำเนินเรื่องไปนางเอก แต่ผมชอบพระเอกนะ ชอบการตัวรอด การปรับตัวกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ( คนแบบนี้แหละที่อยู่ได้ทุกสมัย ) แต่ผมว่าก็คงมีคนเกลียดพอๆกับคนชอบล่ะ   อย่าให้คุณต้องพลาดด้วยประการทั้งปวง หนังดูหนัง สำหรับผมสามารถดูได้หลายๆรอบครับ  
ส่วนด้านการวิจารณ์อาชีพ ผมได้คัดลอกมารวมกันแล้วด้านล่าง เพื่อประกอบการตัดสินใจของคุณ อย่าลืมว่าความสนุกสุขใจ ไม่มีใครบังคับคุณได้ ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง  

ขอให้สนุกนะครับ 

_______________________________________________________________________________

เรื่อง...ณัฐกร เวียงอินทร์ 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1332566264&grpid=01&catid=01

ในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ภาพยนตร์ที่สร้างจากวรรณกรรมภาคต่อระดับเบสต์เซลเลอร์ได้ขึ้นมาเขย่าบัลลังก์บ็อกซ์ ออฟฟิศ ครั้งแล้วครั้งเล่า จากการผจญภัยของฮอบบิทใน The Lord of the Rings มาสู่โลกพ่อมดน้อย Harry Potter ตามด้วยวรรณกรรมโรมานซ์อย่าง Twilight กับเรื่องราวชวนฝันในความสัมพันธ์ของ หญิงสาวผู้เป็นมนุษย์, แวมไพร์รูปหล่อ และมนุษย์หมาป่าล่ำบึ้ก

The Hunger Games

กระแสวรรณกรรมดังที่ว่ามาดูเหมือนจะจบตำนานไปแล้ว คงเหลือแต่ Twilight ภาคสุดท้ายและการนำ Hobbit ซึ่งเป็นวรรณกรรมต้นธารของ The Lord of the Rings มาทำเป็นหนังฟอร์มใหญ่ในปีนี้

แต่หลังจากหมดยุควรรณกรรมภาคต่อในข้างต้นแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีต้นฉบับวรรณกรรมระดับเบสต์เซลล่อร์มารับช่วงต่อ เพราะในตอนนี้กระแสหนังสือและภาพยนตร์ The Hunger Games ดูจะเข้ามาครองหัวใจคนทั้งโลกเรียบร้อยแล้ว

The Hunger Games เป็นเรื่องราวของโลกอนาคต ที่อารยธรรมล่มสลาย แล้วโลกได้มีการจัดระเบียบใหม่โดยในประเทศ “พาเน็ม” ได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 12 เขต ขึ้นตรงต่อ "แคปิตอล" ซึ่งเป็นเมืองหลวง แต่ละเขตมีความถนัดในการผลิตที่แตกต่างกัน อย่างเช่น เขต 12 ซึ่งเป็นเขตที่ตัวเอกของเรื่องทั้งสามคน นั่นคือ สาวน้อยสู้ชีวิต แคตนิส เอเวอร์ดีน, หนุ่มลูกเจ้าของร้านขายขนมปัง และเกล หนุ่มนักล่าสัตว์ อาศัยอยู่ เป็นแหล่งผลิตถ่านหิน ซึ่งนับว่าเป็นเขตที่ยากจนแร้นแค้นที่สุดใน 12 เขต

"พาเน็ม" สร้างกลไกเพื่อควบคุมพลเมืองในรัฐของตน ด้วยวิธีที่หลากหลาย อย่างเช่น การห้ามให้ผู้คนทั้ง 12 เขตติดต่อกัน แต่ที่สำคัญก็คือ การออกแบบเกมเรียลิตี้โชว์ที่มีชื่อว่า Hunger Games เพื่อให้แต่รัฐเห็นความสำคัญในชีวิตของตน โดยในแต่ละปี แต่ละเขตจะส่งตัวแทนชายหญิงอายุระหว่าง 12-18 ปี มาเล่นเกมนี้เขตละ 2 คน รวมทั้ง 12 เขตมีผู้เข้าร่วม Hunger Games อยู่ 24 คน โดยเกมนี้มีกติกาง่ายๆคือ ผู้ที่เหลือรอดจากเกมคนสุดท้ายคือผู้ชนะ ซึ่งนั่นก็หมายถึงผู้ร่วมแข่งขันที่เหลืออีก 23 คนต้องจบชีวิตลงในเกมนี้

พล็อตแรงๆที่ชวนลุ้นชวนติดตามนี้ ส่งผลให้ The Hunger Games กระแสแรงมากมาย...

หนังสือ The Hunger Games ฉบับภาษาไทย

ในฝั่งของวรรณกรรม นิยายเยาวชนไตรภาคของซูซาน คอลลินส์เล่มนี้ ได้สร้างกระแสที่น่าสนใจไว้มากมาย จากปี 2008 ที่หนังสือเล่มนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ยอดขายทั่วโลกขายได้ประมาณ 16 ล้านเล่มทั่วโลก ติดอันดับหนังสือขายดีของนิวยอร์กไทมส์ถึง 130 สัปดาห์ติดต่อกัน และตอนนี้ หนังสือเล่มนี้ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปแล้ว 44 ประเทศทั่วโลก และแปลไปกว่า 30 ภาษา โดยเวอร์ชั่นแปลบ้านเรา เป็นของสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊คส์ ใช้ชื่อหนังสือภาษาไทยว่า "เกมล่าชีวิต"(นาธาน แปล)

ส่วนกระแสในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ ที่ตั้งใจจะทำทั้งหมด 4 ภาค ต้องบอกว่า แรงตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าฉาย อย่างที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ มีการจองบัตรล่วงหน้า 2 วัน ปรากฏว่ามีผู้คนมากมายยอมทนหนาว บางคนลงทุนตั้งแคมป์รอเข้าคิวเพื่อจะได้เป็นคนกลุ่มแรกๆที่ได้เข้าชม

ส่วนที่อเมริกามียอดซื้อตั๋วล่วงหน้าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ เอาชนะ The Twilight Saga: Eclipse ซึ่งเป็นแชมป์เก่า โดยเพียงแค่เปิดขายวันแรกในเวบไซด์ Fadango ก็ขายตั๋วเกลี้ยงไปมากกว่า 100 รอบ และเปิดฉายในอเมริกาด้วยจำนวนโรงสูงถึง 4137 โรงฉาย และมีจำนวนจอฉายสูงถึง 10000 จอ ถือว่าเป็นสถิติที่สูงที่สุดของจำนวนจอฉายนับตั้งแต่เคยมีการสร้างภาพยนตร์กันมา

ผู้คนที่นอร์เวย์รอซื้อบัตรล่วงหน้าภาพยนตร์ The Hunger Games

นับจากนี้ไป คงจะมีสถิติหน้าใหม่มากมายจากภาพยนตร์ภาคต่อเรื่องนี้ ที่เป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาแรงจนน่าจับตาตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงอีกหลายปีข้างหน้า...

และเมื่อมองผ่านทั้งเนื้อหาของทั้งหนังสือและภาพยนตร์ซึ่งโครงเรื่องแทบไม่แตกต่างกันเลย การเล่าเรื่องของ The Hunger Games ดูเหมือนจะมีหลายประเด็นที่น่าสนใจที่จะหยิบยกมาพูดถึงนอกเหนือไปจากความสำเร็จที่มากมายของ The Hunger Games ซึ่งหนังสือและภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้นำ "สูตร" ต่างๆเข้ามาเขย่า ขยี้และปรุงรสใหม่ ได้อย่างออกรสชาติ ดังนี้คือ


ประชาชนที่พาเน็มกำลังชมเรียลริตี้โชว์ The Hunger Games

1.การเสียดสีความเป็นเรียลริตี้ โชว์ (Reality Show) อันเป็นรูปแบบรายการยอดฮิตไปทั่วทุกมุมโลกในวันนี้ไปแล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่ The Hunger Games จะนำผู้ชมมายังประเด็นนี้ เหตุผลเพราะว่า ซูซาน คอลลินส์ได้รับแรงบันดาลใจในการแต่งหนังสือจากการนั่งชมรายการโทรทัศน์ 2 ช่องรายการ ช่องรายการหนึ่งเป็นรายการเรียลิตี้โชว์ แต่อีกช่องหนึ่งกลับเป็นข่าวที่อเมริกาบุกอิรักเมื่อปี 2003 ซึ่งความรู้สึกขัดแย้งกันตรงนี้ทำให้เธออยากเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ทำให้ผู้ตกรอบจากเวที Hunger Games ไม่ใช่เพียงแต่ถูกกรรมการวิจารณ์หรือตนเองต้องออกมายืนร้อไห้หน้าเวทีเหมือนรายการเรียลริตี้โชว์ที่เห็นกันดาดดื่น แต่นั่นหมายถึง ชีวิต ที่จะต้องสังเวยเพื่อแสดงให้เห็นถึงความภักดีที่มีต่อรัฐพาเน็ม ในแง่นี้ จึงเปรียบเสมือนการล้อเลียนผู้ชมเรียลิตี้โชว์ กลายว่า ในขณะที่เรารับสื่ออยู่นั้น ผู้ชมไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างความรุนแรงจากการแสดงและความรุนแรงจากพื้นที่จริงออกได้แล้ว เพราะนี่เป็นเพียงความบันเทิงหนึ่งที่มีในชีวิตของพวกเขา, ผู้เลือกเสพความบันเทิงบนโซฟาในบ้านของตนเองเพียงเท่านั้น




2.ประเด็นต่อมาก็คือ ถ้าจะจัดประเภทเรียลริตี้โชว์ ที่ปรากฏในเรื่องนี้ คงจะอยู่ในประเภทพวกรายการเอาตัวรอด หรือเซอร์ไวเวอร์(Survivor) ที่ผู้ร่วมเล่นเกมต้องอยู่ร่วมแข่งขันเอาตัวรอดเป็นคนท้ายๆ จึงจะเป็นผู้ชนะ แต่อย่างที่บอก เดิมพันของ Hunger Games คือ ชีวิต การนำเสนอความรู้สึกของตัวละครในเรื่อง จึงไปได้ไกลในระดับของการถกเถียงกันในประเด็นที่ว่า ตกลงแล้ว "ธรรมชาติของมนุษย์" ในสภาวะอนาธิปไตยที่สังคมเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เป็นอย่างไร? ดีหรือเลว? ซึ่งชวนให้นึกถึงฉากสำคัญฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง "The Dark Knight"(2008) หนังแบทแมนเวอร์ชั่นที่คริสโตเฟอร์ โนแลนกำกับ มีฉากสำคัญที่เรือ 2 ลำ ลำหนึ่งเป็นของประชาชนธรรมดาในเมืองกอทแธม กับอีกลำเป็นของนักโทษ ทั้ง 2 ลำ ต่างมีรีโมทคอยกดระเบิดเรืออีกฝั่ง เพื่อวัดใจกันว่า ในเงื่อนไขเช่นนั้นที่เดิมพันด้วยชีวิต ประชาชนหรือนักโทษจะเป็นคนกดรีโมท?(ผลลัพธ์ในภาพยนตร์เป็นเช่นไร ผมไม่ขอสปอยล์นะครับ)

พล็อตเช่นนี้ ชวนให้คิดและตั้งคำถามอยู่เสมอว่า ตกลงแล้ว "ธรรมชาติของมนุษย์" มีหน้าตาเป็นอย่างไร?



3.การนำเสนอสังคมในพาเน็ม เป็นสังคมที่อยู่ในรูปแบบ "ดิสโทเปีย"(Dystopian) ซึ่งเป็นสังคมฝันร้ายที่แตกต่างจากสังคมในอุดมคติอย่าง "ยูโทเปีย"(Utopia) โดยสังคมพาเน็มแห่งนี้ ได้มีการจัดระเบียบการปกครองเพื่อป้องกันการลุกฮือของคนในรัฐหลากหลายรูปแบบ เพราะในอดีตมีเขต 13 ซึ่งเป็นเขตที่ทำการปฏิวัติ ผู้คนที่มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในแคปิตอลจึงต้องหาทางป้องกันตรงจุดนี้ไว้ อย่างเช่น การนำทรัพยากรจากเขตต่างๆ ไล่ตั้งแต่อาหารไปจนถึงอาวุธสงครามเข้าสู่แคปิตอล ซึ่งเป็นส่วนกลางเพียงเขตเดียว, ห้ามให้เขตเหล่านี้ติดต่อกัน, มี "พีซคีปเปอร์" เป็นตำรวจของรัฐที่คอยควบคุมดูแลแต่ละเขต และการจัดการแข่งขัน Hunger Games ที่นอกจากจะทำให้ผู้คนในแต่ละเขตนึกถึงคุณค่าของชีวิตตนแล้ว การนำเสนอความบันเทิงในรูปแบบเรียลิตี้โชว์ ยังเป็นการกล่อมให้พลเมืองสงบ(โดยเฉพาะคนในเขตแคปปิตอล)ด้วยการใช้ความบันเทิงเข้ามาหลอกล่อ ซึ่งไม่ต่างจากยุคที่จักรวรรดิโรมันรุ่งเรืองจากการรุกรานดินแดนต่างๆ แต่พวกเขาพยายามทำให้ผู้คนที่อยู่ในกรุงโรมอันเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่อย่างสงบ ไม่มีการลุกฮือก่อจราจลด้วยการสร้างสถานบันเทิงอย่างโคลอสเซียมที่มีการจัดการประลองระหว่างทาส เชลยศึก และนักต่อสู้อาชีพ ให้ชาวโรมันได้ชมเพื่อพักผ่อนหย่อนใจโดยเฉพาะ

"ดิสโทเปีย" ในแบบ "The Hunger Games" จึงดูสนุกและหดหู่ไม่แพ้วรรณกรรมดิสโทเปียเรื่องดังๆในอดีตอย่าง "Brave New World" ของ อัลดัส ฮักซลีย์, "1984" ของจอร์จ ออร์เวลล์ หรือ "Lord of the Flies" งานเขียนของวิลเลียม โกลดิ้ง แต่อย่างใด

4.การต่อสู้ทางชนชั้น(class struggles) ในมุมมองแบบมาร์กซิส(Marxism) ในรัฐพาเน็มก็ดูเป็นสีสันที่น่าสนใจเช่นกัน ทรัพยากรต่างๆถูกดูดเข้าไปในส่วนกลาง นั่นคือ "แคปิตอล" แต่มีการกระจายผลผลิตกลับสู่เขตต่างๆด้วยสัดส่วนที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับผลผลิตที่เจ้าของแรงงานในแต่ละเขตผลิตได้ ปมตรงนี้ ทำให้ The Hunger Games มีเสน่ห์น่าติดตาม เพราะแน่นอนว่า เมื่อความแร้นแค้นและความไม่พอใจถูกสะสมมากขึ้น ผู้คนผู้เป็นเป็นฐานล่างของสังคมย่อมที่จะลุกฮือเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐโดยเฉพาะผู้คนในเขต 11 และ 12 ซึ่งเป็นเขตที่ทำการเกษตรกรรมและทำเหมืองแร่ถ่านหิน อันเป็นพื้นที่ที่พาเน็มปล่อยปละละเลยจนผู้คนอดอยาก ย่อมเป็นมูลเหตุนำไปสู่การปฏิวัติได้

(อันที่จริงแล้ว ตามแนวคิดของนักคอมมิวนิสต์แบบ คาร์ล มาร์กซ์ เขามองว่า การปฏิวัติทางชนชั้นขั้นสุดท้าย จะเกิดขึ้นในสังคมอุตสาหกรรม แต่สังคมอุตสาหกรรมในพาเน็ม อย่างในเขตของการผลิตอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคทุกชนิด, ประกอบยานพาหนะ, ผลิตอาวุธ หรือเครื่องประดับ กลับเป็นเขตที่พลเมืองมีคุณภาพชีวิตดีกว่าเขต 11 และเขต 12 ด้วยเห็นที่ว่า ส่วนกลางของรัฐดูดทรัพยากรจากเขตเกษตรกรรมไปดูแลเขตที่รัฐโปรดปรานในข้างต้น ซึ่งออกจะชวนหัวอยู่สักหน่อย)


 
จากบนลงล่าง เลียม เฮมส์เวิร์ธ(เกล), เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์(แคตนิส)และจอช ฮัทเชอร์สัน(พีต้า)

5.กลิ่นของหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้ The Hunger Games ดูเคลื่อนไหวอย่างไม่แข็งทื่อเกินไปนัก นั่นคือการนำเรื่องราวชวนฝันหวานตามสไตล์รักโรแมนติก(Romantic Love) เข้ามาผสมให้เนื้อเรื่องดูกลมกล่อมยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ปมรักสามเส้ายังเป็นเรื่องที่ขายได้ในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งในยุครักโปรโมตผ่านเฟซบุ๊คนี้ ข้อพิสูจน์ว่าความรักของคนสามคนยังขายได้นั้นก็เพราะความฮอตของมนุษย์ แวมไพร์ และมนุษย์หมาป่า ผ่านภาพยนตร์ Twilight จนหลายคนมองว่า สูตรสำเร็จตรงนี้ ในมุมมองการตลาด ถูกกลืนเข้าไปในหน้าหนัง The Hunger Games แบบเนียนๆผ่านความสัมพันธ์ของแคตนิส, พีต้า และเกล ได้อย่างมีพลังมากพอที่จะดึงคนเข้ามาชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรง

อีกทั้ง The Hunger Games ยังเล่นกับอารมณ์ความรักที่ไม่สมหวัง ผ่านสายตาของผู้ชมในสังเวียน Hunger Games ซึ่งปมไคลแมกซ์ในประเด็นความรักโรแมนติกในช่วงท้ายๆของภาคแรกชวนให้นึกถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับตัวละครอมตะของวิลเลียม เชคสเปียร์อย่าง โรมิโอและจูเลียต อย่างมีนัยยะน่าสนใจ

ส่วนผสมเหล่านี้ เมื่อถูกนำมาวางโครงสร้างใหม่ ทำให้ "สูตร" ของการเล่าเรื่อง กลายเป็นเรื่องสนุก น่าคิดตาม และที่สำคัญคือ ขายได้ โดนใจมหาชน...




***ข้อมูลของภาพยนตร์ The Hunger Games

อำนวยการสร้าง จอห์น คิลิค (Inside Man, Babel, 25th Hour)

กำกับ  แกรี่ รอส (Seabiscuit, Pleasantville, Big)

เขียนบท  บิลลี่ เรย์ (State of Play, Shattered Glass, Breach)


นำแสดง 

เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Winter’s Bones, X-Men: First Class)

จอช ฮัทเชอร์สัน (Journey 3D, Zathura, The Kids Are All Right)

เลียม เฮมส์เวิร์ธ (The Last Song, Knowing, Triangle)

เอลิซาเบธ แบงก์ส (Definitely Maybe, Spider-Man 1-3, The Next Three Days)

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

ไปดูหนังใหม่มาแล้ว Battle Ship

วันก่อนได้ไปดูหนังมา (ตั้งใจไปเลยล่ะ) เรื่อง Battleship ยุทธการเรือรบพิฆาตเอเลี่ยน  ตัวหนังเองก็สนุกนะครับ ลุ้นมันส์ดี ผมว่าดีกว่าทรานส์ฟอร์เมอร์สอีก เพราะเรื่องนี้มันรู้สึกว่าใกล้ตัวมากกว่า เอเลี่ยนก็สูสีกับมนุษย์ สามารถต่อสู้แบบมือเปล่าในระยะประชิดได้ ถ้าเทียบกับเอเลี่ยนเรื่องอื่นๆไม่มีทางที่จะสู้ด้วยมือเปล่าระยะประชิดได้ตายสนิท และเครื่องทุ่นแรงต่างๆ(อาวุธในเรื่อง) ก็ไม่ขาดกันเท่าไหร่ระหว่างมนุษย์โลกกับเอเลี่ยน เหมือนมวยเทียบคู่ได้สูสี (แต่มนุษย์โลกได้เปรียบเรื่องจ้าวบ้านครับ) นั่นเป็นการลุ้นเรื่องแอ๊คชั่นล้วนๆ แต่ในเนื้อหามันก็ทำให้ผมต้องตั้งคำถามกับตัวเองทั้งเรื่อง(ปกติแล้วจะคิดเองตอบเองไปเรื่อย) เช่น ในเรื่องเอเลี่ยนมากันห้ายาน (ยานอวกาศนะครับ) พังไปหนึ่งและคาดว่าจะเป็นยานสื่อสาร แล้วที่เหลือน่าจะเป็นยานรบทั้งหมด (เพราะนับจำนวนดูแล้วมันก็ประมาณนั้นล่ะครับ) คำถาม...คุณเอเลี่ยนที่ยกพวกมาตั้งไกล มันไม่พกนักการทูตมาซักตัวเชียวหรือครับ? หรือตายหมดที่ยานสื่อสาร (มันไม่กระจายความเสี่ยงเลยเน๊อะ) ที่สงสัยข้อต่อไป ตกลงคุณเอเลี่ยนมาที่โลกเพื่ออะไร?หนอ เพราะหลายๆฉากที่เหมือนจะบ่งบอกว่า มันไม่ได้ตั้งใจมาล้างผลาญอย่างเดียว คุณธรรมยังสูงส่งอยู่ หรือว่าคุณๆจะเอาไว้เฉลยที่ภาคสอง (ถ้าภาคนี้กำไรเยอะๆผมว่ามีชัวส์ๆ) ก่อนจบ อย่าเพิ่งลุกหนีกลับนะครับ เพราะมีตอนจะเป็นต่อไปท้ายเครดิตด้วย  สรุปแล้วหนังดูสนุกครับ มันส์และมีลุ้นตลอด(ตั้งแต่ดราม่านิดๆยันเรือรบเลย) ช่วงแรกๆอาจอึดอัดหน่อย สำหรับพวกฮาร์ดคอร์   ขอให้สนุกนะครับ 


Battleship ยุทธการเรือรบพิฆาตเอเลี่ยน (UIP)
กำหนดฉาย : 12 เมษายน 2555

แนว :  Action Sci-Fi               
นำแสดง : เทย์เลอร์ คิทส์ช, อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด, ริฮันน่า, บรู๊คลิน เด็คเกอร์, ทาดาโนบุ อาซาโน่, ฮามิช ลิงค์เลเทอร์, เลียม นีสัน
กำกับ : ปีเตอร์ เบิร์ก

          มหาสมุทรจะกลายเป็นมหาสงคราม ฮีโร่ของเราคือเหล่ากองทัพเรือ จากเกมรบชื่อด้งของฮาสโบร มาสู่จอภาพยนตร์ "แบทเทิลชิป" อภิมหาโปรเจคท์จากผู้สร้างทรานส์ฟอร์เมอร์ส โดยผู้กำกับ ปีเตอร์ เบิร์ก (จาก Hancock และ Kingdom) รับโปรเจคท์ยักษ์ใหญ่ของค่ายยูนิเวอร์แซล แบทเทิลชิป ภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยที่เปิดยุทธการรบเต็มรูปแบบที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา โดยกองเรือรบที่ยิ่งใหญ่นี้จะเปิดฉากรบทั้งในทะเล กลางเวหา และภาคพื้นดิน เพื่อต่อต้านกับศัตรูที่มารุกรานโลก โดย เรื่อง แบทเทิลชิป สร้างจากเกมต่อสู้ของเรือรบที่สุดโด่งดังของฮาสโบร ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างหุ่นทรานส์ฟอร์เมอร์ส ให้กลายเป็นภาพยนตร์ระดับสุดยอดนั่นเอง

          แบ ทเทิลชิป นำแสดงโดย เทย์เลอร์ คิทช์ รับบท ฮอพเปอร์ นาวิกโยธินหนุ่มลูกเรือ USS John Paul Jones, บรูคลิน เดคเกอร์ นางแบบสาวสวยเซ็กซี่ รับบท แซม นักกายภาพบำบัดและเป็นคู่หมั้นของฮอพเปอร์, อเล็กซานเดอร์ สการ์การ์ด รับบทเป็นสโตน พี่ชายของฮอพเปอร์ และมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการเรือ USS Samson, นักร้องสาวชื่อดัง ริฮานน่า รับบท เรือโทหญิงไรคิส เป็นเพื่อนร่วมงานกับฮอพเปอร์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธของเรือ USS John Paul Jones และดาราดังอีกคน เลียม นีสัน มารับบท พลเรือเอกเชน ผู้ควบคุมฮอพเปอร์, สโตน และไรคิส และเป็นพ่อของสาวสวยแซม

          ทั้ง หมดนี้จะต้องเผชิญหน้ากับผู้รุกรานจากนอกโลก ซึ่งฮาสโบรได้เตรียมทุ่มทุนมหาศาลสำหรับเรื่องนี้ เพื่อให้ แบทเทิลชิป เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี 2012 รับมหาสงกรานต์ 12 เมษายนนี้ ในโรงภาพยนตร์





วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

หนังสือน่าอ่าน ม้าศึก


ม้าศึก รู้จักครั้งแรกเพราะหนังจะเข้าโรง (แต่ดูแล้วเหมือนจะเป็นประเภทชิงรางวัล) แต่ที่ทำให้ต้องสนใจเพราะ ชื่อผู้กำกับที่ชื่อ สตีเวน สปีลเบิร์ก เทพแห่งวงการหนังของโลก (เพราะเขาทำหนังมาแล้วทุกประเภท และทำได้ดีในทุกๆแนวด้วย) เลยอยากรู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวของหนัง จึงสืบสาวราวเรื่องพบว่า มันมีจุดกำเนิดมาจากหนังสือเล่มบางๆเล่มหนึ่งเท่านั้น จึงซื้อมาอ่าน เพราะคิดว่าคงอ่านจบและราคาไม่แพงด้วย (อันนี้สำคัณมาก)  อ่านรอบแรกผ่านไปแล้ว รู้สึกเหมือนกินอาหารอร่อยๆ ที่ไม่อิ่ม ไม่เต็มคำ เพราะตะกละตะกลามไปหน่อย  รอเอาไว้ซักระยะ ว่างๆเงียบจะค่อยๆ อ่านแบบละเมียดจริงๆ   อยากให้ทุกท่านที่รักการอ่านและไม่รักการอ่าน(เท่าไหร่) มาลองอ่านดู จะรู้ว่าหนังสือของเขาดีจริงๆ ครับ  


ชื่อเรื่อง : ม้าศึก War Horse
ผู้เขียน : ไมเคิล มอร์พูร์โก
ผู้แปล : ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ
จำนวน : 160 หน้า
น้ำหนัก : 214 กรัม
เนื้อในพิมพ์ : ขาวดำ
ชนิดปก : ปกอ่อน
ชนิดกระดาษ : ปอนด์ครีม 75 แกรม
สำนักพิมพ์ : แพรวเยาวชน
เนื้อหา : นวนิยายสะท้อนความเลวร้ายของสงคราม ผ่านมุมมองและวีรกรรมกล้าหาญของม้าตัวหนึ่ง ม้าซึ่งซื่อสัตย์ สง่างาม และฉลาดเฉลียว ม้าซึ่งควรใช้ชีวิตทำงานอย่างเงียบสงบในฟาร์มที่ไหนสักแห่ง แต่ต้องกลายมาเป็น “ม้าศึก” ท่ามกลางอันตราย ความยากลำบาก และความทุกข์ทรมานในสนามรบที่มนุษย์สร้างขึ้น
- ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์กำกับโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก ฉายทั่วโลกเดือนกุมภาพันธ์ 2012
- ที่ได้รับเกียรติจากเจ้าชายวิลเลียมกับเจ้าหญิงเคท มิดเดิลตัน เสด็จทอดพระเนตรภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ในอังกฤษ
- ได้รับการสร้างเป็นละครเวทีบรอดเวย์และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำปี 2012

http://www.trendyday.com/FusRoDah/DirectReferProduct?ProductId=P190031&FusRoDahTag=%E0%B8%BABook_Blogg&FusRoDahGuid=97073f3b-3499-45ba-a9ba-53c9ef74be56